วิธีบูชา พระสมเด็จวัดระฆัง เพื่อให้เกิดพุทธคุณสูงสุด
____________________________
- อานุภาพพระสมเด็จวัดระฆัง
ผู้ที่มีจิตใจที่ดี บริสุทธิ์ผ่องใส จะได้รับอานุภาพที่ดี จากพระสมเด็จ ณ วัดแห่งนี้
๑. บูชาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในกิจการงาน และความผาสุขของชีวิต
ผู้มีติดตัวไว้ จะทำให้เกิดโภคทรัพย์ ในสุจริตวิถี
๒. คุ้มครองป้องกันภัยอันตราย ให้แคล้วคลาดจากภัย ทั้งหลายทั้งปวง เฉพาะในผู้ที่เป็นสุจริตชน
ผู้ทำมาหากินด้วยแรงกาย แรงสติปัญญา ในทำนองครองธรรม ในทางตรงกันข้าม พวกมิจฉาชีพดำรง
ชีวิตด้วยความเดือดร้อนของบ้านเมืองและประชาชน ตลอดจนถึงการขัดต่อศีลธรรม อันดีงาม
แม้มีพระสมเด็จไว้ครอบครอง หรือมีส่วนเกี่ยวข้องผ่านมือ ก็จะไม่พบความสุข
หาความเจริญที่ยั่งยืนให้แก่ชีวิตได้ยาก
- วิธีอาราธนา พระสมเด็จวัดระฆัง
ตั้งนะโม ๓จบ ระลึกถึง เจ้าประคุณพระสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆษิตาราม
หากสวดคาถาชินบัญชร บทเต็มได้ ควรสวด ๑จบ หรือหากมีเวลาน้อย ให้สวดบทย่อ ๑๐จบ มีดังนี้
" ชินะปัญชะระปะริตัง มังรักขะตุสัพพะทา " ก่อนที่จะนำ พระสมเด็จติดตัวไป ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ท่องคาถาแสดงความเคารพต่อองค์พระสมเด็จ
เมื่อยกสร้อยขึ้นจะคล้องคอ องค์พระอยู่ในอุ้มมือ พนมมือแล้วท่องคาถา อาราธนาดังต่อไปนี้
" โอมมะศรี มะศรี พรหมรังสี นามะเตโช มหาสมโณ มหาปัญโญ
มหาลาโภ มหายะโส สัพพะโสตถี ภะวันตุเม "
- เมื่อจบแล้ว ให้ท่องคาถา ขอโชคลาภ ว่า
"ปุตตะกาโม ละเภปุตตัง ธนะกาโม ละเภธะนัง
อัตถิ กาเย กายะยายะ เทวานัง ปิยะยัง สุตวา"
- เมื่อคล้องคอแล้ว ท่องคาถา คุ้มครองชีวิต ให้แคล้วคลาดปลอดภัยว่า
" อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อรหังสุคโต นะโมพุทธายะ "
หากทำได้เช่นนี้ทุกวัน ชีวิตท่านจะเกิดมงคล จักพบแต่ความสุขความเจริญ และนิรันตรายทั้งปวง.
คาถาชินบัญชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
พระคาถานี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ตกทอดมาจากลังกา
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯค้นพบในคัมภีร์โบราณและได้ดัดแปลงแต่งเติมให้ดีขึ้นเป็นเอกลักษณ์พิเศษ
ผู้ใดสวดภาวนาพระคาถานี้เป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้เกิดความสิริมงคลแก่ตนเอง
ศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสยต่างๆ
ก่อนเจริญภาวนาให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วระลึกถึงหลวงปู่โตและตั้งคำอธิษฐานแล้วเริ่มสวด
เริ่มสวด นโม 3 จบ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นึกถึงหลวงปู่โตแล้วตั้งอธิษฐาน
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
เริ่มบทพระคาถาชินบัญชร
ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.
ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.
สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.
หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.
เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว
กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร.
ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ.
เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.
ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา
วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.
อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.
คำแปล
พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลาย ผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์
ทรงพิชิตพระยามาราธิราชผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรสคือ
อริยะสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์
มี ๒๘ พระองค์คือ พระผู้ทรงพระนามว่า ตัณหังกรเป็นต้น พระพุทธเจ้าผู้จอมมุนีทั้งหมดนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่บนศีรษะ
พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง
พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณอยู่ที่อก
พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจพระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา
พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณทัญญะอยู่เบื้องหลัง
พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา
พระกัสสะปะกับพระมหานามะอยู่ที่หูซ้าย
มุนีผู้ประเสริฐคือพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริดังพระอาทิตย์ส่องแสง
อยู่ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
พระเถระกุมาระกัสสะปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ
มีวาทะอันวิจิตรไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ
พระปุณณะ พระอังคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวะลี
พระเถระทั้ง ๕ นี้ จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก
ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือผู้มีชัยและเป็นพระโอรส
เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย แต่ละองค์ล้วน
รุ่งเรืองไพโรจน์ด้วยเดชแห่งศีลให้ดำรงอยู่ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่
พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้าพระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา
พระอังคุลิมาลปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตรอยู่เบื้องหลัง
พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร
เป็นเครื่องกางกั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ
อนึ่งพระชินเจ้าทั้งหลาย นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้
ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิด มีศีลาทิคุณอันมั่นคง
สัตตะปราการเป็นอาภรณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น
ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้าไม่ว่าจะทำกิจการใดๆ
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชรแวดวงกรงล้อม
แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายใน
อันเกิดแต่โรคร้าย คือ โรคลมและโรคดีเป็นต้น
เป็นสมุฏฐานจงกำจัดให้พินาศไปอย่าได้เหลือ
ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น
จงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้น ท่ามกลางพระชินบัญชร
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม
จึงชนะเสียได้ซึ่งอุปัทวอันตรายใดๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า
ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพ
แห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติ และรักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดรเทอญฯ
พระเจดีย์ ๓ องค์ วัดระฆัง สร้างสมัย รัชกาลที่ ๓
สร้างโดยเจ้านายวังหลัง ๓ องค์ คือ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล ต้นสกุล ปาลกะวงศ์) กรมหมื่นนเรศร์โยธี (พระองค์เจ้าชายบัว) และกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ (พระองค์เจ้าชายแดง ต้นสกุล เสนีวงศ์) สร้างโดยเสด็จพระราชกุศลในรัชกาลที่ ๓ เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เป็นเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ ทรงจอมแห ทรวดทรงงดงามมาก แต่เป็นเจดีย์ขนาดย่อม ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถหลังปัจจุบัน
เจดีย์กรมหมื่นนราเทเวศร์
พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปาน กรมหมื่นนราเทเวศร์ เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขกับเจ้าครอกทองอยู่ ประสูติในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย แรม 1 ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2313
พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปาน กรมหมื่นนราเทเวศร์
พระอิสริยยศพระสัมพันธวงศ์เธอฐานันดรศักดิ์พระองค์เจ้าราชวงศ์ราชวงศ์จักรีข้อมูลส่วนพระองค์ประสูติ14 ธันวาคม พ.ศ. 2313สิ้นพระชนม์23 สิงหาคม พ.ศ. 2368พระบิดาสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขพระมารดาเจ้าครอกทองอยู่พระชายาเจ้าหญิงมะเดื่อ
ในรัชกาลที่ 1 ทรงได้รับโปรดเกล้าสถาปนาเป็น "กรมหมื่นนราเทเวศร์" เมื่อปี พ.ศ. 2350 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 10 แรม 13 ค่ำ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2368 สิริพระชันษาได้ 56 ปี
พระเจดีย์องค์ที่ ๒
เจดีย์กรมหมื่นนเรศร์โยธี
พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัว กรมหมื่นนเรศร์โยธี เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขกับเจ้าครอกทองอยู่ ประสูติในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อวันพุธ เดือน 3 แรม 11 ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2318
พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัว กรมหมื่นนเรศร์โยธี
พระนามพระองค์เจ้าบัวพระอิสริยยศพระสัมพันธวงศ์เธอฐานันดรศักดิ์พระองค์เจ้าราชวงศ์ราชวงศ์จักรีข้อมูลส่วนพระองค์ประสูติ31 มกราคม พ.ศ. 2318สิ้นพระชนม์1 เมษายน พ.ศ. 2374พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขพระราชมารดาเจ้าครอกทองอยู่
ในรัชกาลที่ 1 ทรงได้รับโปรดเกล้าสถาปนาเป็น "หมื่นนเรศร์โยธี" เมื่อปี พ.ศ. 2350 สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2374 สิริพระชันษาได้ 56 ปี พระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2374
พระเจดีย์องค์ที่ ๓
เจดีย์กรมหลวงเสนีบรีรักษ์
พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าแตง กรมหลวงเสนีบริรักษ์ เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขกับเจ้าครอกทองอยู่ ประสูติในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 8 แรม 1 ค่ำ ปีระกา ตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2320
พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าแตง กรมหลวงเสนีบริรักษ์
พระนามพระองค์เจ้าแตงพระอิสริยยศพระสัมพันธวงศ์เธอฐานันดรศักดิ์พระองค์เจ้าราชวงศ์ราชวงศ์จักรีข้อมูลส่วนพระองค์ประสูติ20 กรกฎาคม พ.ศ. 2320สิ้นพระชนม์7 มิถุนายน พ.ศ. 2377พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขพระราชมารดาเจ้าครอกทองอยู่พระราชบุตร75 พระองค์
ในรัชกาลที่ 1 ทรงได้รับโปรดเกล้าสถาปนาเป็น "กรมหมื่นเสนีบริรักษ์" เมื่อปี พ.ศ. 2350 ในขณะมีพระชันษาได้ 30 ปี ในรัชกาลที่ 3 ได้เสด็จไปตีเมืองเวียงจันทน์ จนได้รับชัยชนะหลายครั้ง มีความดีความชอบ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าเลื่อพระอิสริยยศขึ้นเป็น "กรมหลวงเสนีบริรักษ์" เมื่อปี พ.ศ. 2375
กรมหลวงเสนีบริรักษ์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อวันเสาร์ เดือน 8 ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2377 สิริพระชันษาได้ 58 ปี มีพระโอรส-ธิดา รวมทั้งสิ้น 75 พระองค์ (ไม่ปรากฏพระนาม 11 พระองค์ และไม่เป็นองค์ 5 พระองค์) ทรงเป็นต้นราชสกุลเสนีวงศ์
----------------------------
สมเด็จ โต สร้างพระสมเด็จบรรจุพระเจดีย์ ๘๔๐๐๐ องค์เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์ "
พระสมเด็จวัดระฆัง แม่พิมพ์ช่างชาวบ้าน ยุคแรก ในพระเจดีย์สามองค์ข้างพระอุโบสถวัดระฆัง
การปรากฎของ พระสมเด็จวัดระฆัง บล็อกแม่พิมพ์ยุคแรก
พระสมเด็จ วัดระฆัง พรือพระพิมพ์ ของท่านเจ้าประคุณ ท่านได้สร้างหลายวาระ หลายครั้ง แบ่งออกเป็น ๓ ยุค ๓ สมัย ประมาณ ๑๔ ครั้ง บางวาระสร้างมากถึง ๘๔๐๐๐ องค์ เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์ สร้างเพื่อบรรจุในพระเจดีย์ต่างๆ มีแห่งใดไม่อาจทราบแน่ชัด ตามประวัติปรากฎชัด เช่น กรุวัดใหม่อตมรส (บางขุนพรหม กทม ) กรุวัดเกศไชโย จ.อ่างทอง กรุพระปาวัดระฆัง กรุพระเจดีย์วัดระฆัง
พระสมเด็จ กรุพระเจดีย์ ๓ องค์ข้างพระอุโบสถพระประธานยิ้มรับฟ้า นั้น จากคำบอกเล่าว่า ค้นพบ เพียง ๕ พิมพ์
๑. พิมพ์ใหญ่ ( แบบยุคแรก หรือ ยุคต้น )
๒.พิมพ์ปรกโพธิ์ ( แบบยุคแรก หรือ ยุคต้น ) ต้นแบบพิมพ์ทรงจากพระสมเด็จอรหัง ของสมเด็จพระสังราช สุก ไก่เถื่อน ผู้เป็นพระอาจารย์
๓.พิมพ์วัดเกศ ๙ ชั้น ( อกวี )
๔.พิมพ์ไสยาสน์
๕.พิมพ์ตุ๊กตา ต้นแบบพิมพ์ทรงพระวัดพลับ ของสมเด็จพระสังราช สุก ไก่เถื่อน ผู้เป็นพระอาจารย์
ทั้ง ๕ พิมพ์นี้ไม่สามารถระบุได้ว่าพิมพ์ใดแตกกรุออกมาจากพระเจดีย์องค์ใด
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือ วัดระฆัง, วัดหลวงพ่อโต ตั้งอยู่เลขที่ 250 แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรมหาวิหาร อยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์มหานิกายภาค 1
วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดระฆังโฆสิตาราม” นอกจากเป็นเพราะขุดพบระฆังที่วัดนี้และเพื่อฟื้นฟูแบบแผนครั้งกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดชื่อวัดระฆังเช่นกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “วัดระฆังโฆสิตาราม” เป็น “วัดราชคัณฑิยาราม” (คัณฑิ แปลว่าระฆัง) แต่ไม่มีคนนิยมเรียกชื่อนี้ ยังคงเรียกว่าวัดระฆังต่อมา